เสน่ห์แห่งธรรมชาติและการสร้างมาบรรจบกันที่ซับโปโร

POSTED BY TRAVELBARADMIN | Wednesday, October 02, 2019 - 09:09

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ในการท่องเที่ยวแต่ละฤดูที่แตกต่างกันทำให้ทุกคนสามารถมาสัมผัสเสน่ห์ในรูปแบบต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี ภูมิภาคฮอกไกโดก็เช่นกัน นอกจากภาพของหิมะขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วเกาะในฤดูหนาวแล้ว เมื่อถึงคราวที่หิมะละลายเสน่ห์ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนก็จะเต็มไปด้วยสีสันที่แข่งกันเบ่งบาน แต่อีกภาพที่ชวนจดจำของภูมิภาคนี้ก็คือเสน่ห์แห่งฤดูใบไม้ร่วงที่ทั่วทั้งเกาะจะเปลี่ยนเฉดสีไปในโทนอบอุ่น สวยงามไม่แพ้ที่ไหนในญี่ปุ่น และหนึ่งในเมืองที่เราอยากชวนให้ทุกคนมาลองสัมผัสเสน่ห์ในช่วงนี้ก็คือซัปโปโร เมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฤดูหนาวแต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามไม่แพ้กัน

เทศกาลหิมะแห่งซับโปโร, Cr.pic.: Denny RyantoบนUnsplash

ซัปโปโร (札幌市 / Sapporo) เป็นสวรรค์ของการท่องเที่ยวสำหรับทุกคนในครอบครัว เมืองนี้ตั้งอยู่ในเขตตอนกลางของภูมิภาคฮอกไกโด (Central Hokkaido) ทั้งยังเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฮอกไกโด และถือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น แน่นอนว่าไฮไลต์การท่องเที่ยวที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือ เทศกาลหิมะแห่งซัปโปโร หรือ Sapporo Snow Festival ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ป็นประจำทุกปี ซึ่งเทศกาลนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น Big 4 หรือ 1 ใน 4 เทศกาลหิมะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

ซับโปโรในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี, Cr.pic. sapporo.travel

เอกลักษณ์ในฤดูหนาวนี้ใครๆ ก็ต่างรู้จัก แต่สำหรับเอกลักษณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงในช่วงก่อนที่หิมะจะโปรยปรายนั้นอาจเป็นภาพที่ไม่คุ้นตากันสักเท่าไร ฤดูใบไม้ร่วงของซัปโปโรนั้นจะกินเวลาตั้งแต่ราวช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายนในแต่ละปี ทุกพื้นที่จะปกคลุมไปด้วยใบไม้โทนสีเหลือง แดง ไปจนกระทั่งเฉดทองอร่ามไปทั่วทั้งป่า นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้ท่องเที่ยวมากมายในฤดูนี้ ซึ่งเราอยากพาคุณไปรู้จักกับเสน่ห์ของซัปโปโรในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่รับรองว่าจะสร้างความสุขสันต์ให้กับทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ประติมากรรมแห่งธรรมชาติและศิลปะ

สวนสาธารณะโมเอเระนุมะ, Cr. pic.: Eric 

หนึ่งในเพชรเม็ดงามที่จะอวดโฉมในฤดูหิมะละลายได้ดีที่สุดนั้นก็คือ สวนสาธารณะโมเอเระนุมะ (モエレ沼公園 /Moerenuma Park) ที่เป็นดั่งประติมากรรมศิลป์ ที่ผสมผสานธรรมชาติและศิลปะอย่างลงตัวตามแนวคิดที่ผู้ออกแบบได้วางไว้ นอกจากใบไม้เปลี่ยนสีในสวนสาธารณะนี้จะงดงามจนทำให้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงยอดนิยมของซับโปโรแล้ว การเดินชมประติมากรรมศิลป์ในจุดต่างๆ ไปพร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์นั้นยังถือเป็นกิจกรรมที่ยอดเยี่ยมทีเดียว

สวนสาธารณะนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่สีเขียวที่เกิดขึ้นจากโครงการ Circular Greenbelt Concept ของรัฐบาลท้องถิ่นที่ต้องการจะสร้างพื้นที่สีเขียวรอบเมือง โดยพื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของซัปโปโร ครอบคลุมบริเวณกว่า 1.89 ตร.กม. ถูกปรับเปลี่ยนมาจากพื้นที่ทิ้งขยะถมทะเลที่เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1979 เรื่อยมา ก่อนที่จะเริ่มมีโครงการปรับปรุงพื้นที่ให้สร้างประโยชน์ได้ในปี ค.ศ.1982 แล้วนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการสวนสาธารณะแห่งนี้นั่นเอง โดยทางรัฐบาลท้องถิ่นได้เชิญ อิซามุ โนงุจิ (野口 勇  / Isamu Noguchi) ศิลปินลูกครึ่งอเมริกัน-ญี่ปุ่นผู้เป็นประติมากรและนักภูมิสถาปัตย์ชื่อดังระดับโลก มาออกแบบสวนให้ ซึ่งเขาได้สร้างคอนเซ็ปต์ The whole being a single sculpture ที่เขาจะออกแบบทุกอย่างบนพื้นที่นี้ให้เป็นเสมือนประติมากรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียว เป็นที่น่าเสียดายว่า อิซามุ โนงุจิ นั้นเสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวายฉับพลันที่นิวยอร์กในปี ค.ศ.1988 เสียก่อน แต่แนวคิดของเขาก็ได้รับการสานต่อเรื่อยมาจนสามารถสร้างสวนนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามแนวคิดดั้งเดิม และเปิดทำการครั้งแรกในปี ค.ศ.2005 เพื่อเป็นหนึ่งในของขวัญแห่งการต้อนรับศตวรรษใหม่ให้กับซัปโปโร

ทะเลน้ำพุ, Cr.pic.: N43CD  

คำว่า モエレ沼 – โมเอเระนุมะ ที่เป็นชื่อของสวนสาธารณะนั้นแปลความได้ว่า “ลำธารที่ไหลเอื่อย” นั่นเป็นเอกลักษณ์ของภูมิประเทศบริเวณนี้ที่มีลำธารเล็กๆ ไหลอยู่โดยรอบขอบสวนสาธารณะนั่นเอง ในส่วนของประติมากรรมเอกนั้นมีอยู่ 2 อย่างด้วยกันนั่นก็คือ ฮิดะมาริ (Hidamari) สถาปัตยกรรมปิรามิดกระจกอันยิ่งใหญ่ ซึ่งผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนผู้เป็นสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่โด่งดังอย่าง Leoh Ming Pei (I. M. Pei) ซึ่งเขาผู้นี้ก็คือคนที่ออกแบบปิรามิดกระจกอันโด่งดังของโลกที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในปารีสนั่นเอง ประติมากรรมเอกอีกชิ้นที่ถือเป็นหัวใจสำคัญซึ่งตั้งอยู่ใจกลางสวนแห่งนี้ด้วยนั่นก็คือ น้ำพุทะเล (Sea Fountain) ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “ประติมากรรมแห่งสายน้ำ” (a sculpture of water) ซึ่งความพิเศษอยู่ที่การเป็นน้ำพุยักษ์ที่มีลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่น้ำพุดนตรีประกอบแสงสี ไปจนถึงการเป็นน้ำพุแรงดันสูงที่พุ่งได้สูงสุดถึง 25 เมตร เลยทีเดียว (เปิดให้ชมเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ระหว่าง เม.ย.-ต.ค. เท่านั้น) เหตุที่น้ำพุทะเลเป็นหัวใจของสวนก็เพราะว่า อิซามุ โนงุจิ เคยบอกไว้ว่า “เขานี่ล่ะเป็นผู้ที่ชื่นชอบศึกษาและเรียนรู้เรื่องน้ำพุมาตลอดชีวิตของเขา” ซึ่งเขานำเอาความรักตลอดจนความเชี่ยวชาญทั้งหมดมาออกแบบน้ำพุนี้ขึ้นมาด้วย โดยได้แรงบันดาลใจสำคัญจากน้ำพุยักษ์ที่สูงกว่า 48 เมตร ใน Bayfront Park ที่ชายหาดไมอามี่ สหรัฐอเมริกานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจในสวนสาธารณะนี้อีกมากมาย โดยเฉพาะสนามเด็กเล่นแห่งศิลปะที่เป็นขวัญใจทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่อย่างป่าแห่งต้นเซอร์รี่ (Forest of Cherry Treesซึ่งเด็กๆ สามารถสนุกสนานกับสนามเด็กเล่นแห่งนี้ไปพร้อมๆ กับผู้ใหญ่ที่กำลังซึมซับกับการเสพงานแนวโมเดิร์นอาร์ตในเวลาเดียวกัน

เยือนหมู่บ้านที่รวบรวมจิตวิญญาณแห่งประวัติศาสตร์

หมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งฮอกไกโด, Cr.pic.: hokkaidoguide

ญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากการอนุรักษ์ความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมตามวิธีปกติที่ทำกันแล้ว ยังมีการอนุรักษ์อีกรูปแบบที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นก็คือการยกเอาสถาปัตยกรรมดั้งเดิมแบบทั้งดุ้นที่กำลังจะถูกทำลายมารวมรวบไว้ในสถานที่เดียวกัน ให้กลายเป็นสถานที่ใหม่ที่ยังคงเสน่ห์ของจิตวิญญาณดั้งเดิมไว้อย่างเต็มเปี่ยม สถานที่ลักษณะนี้มักจะเรียกกันว่า พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง (Open Air Museum) ที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ทั้งสถาปัตยกรรมภายนอกตลอดจนการตกแต่งภายในตามแต่ละยุคสมัย หรือบางครั้งก็มีการจำลองวิถีชีวิตดั้งเดิมภายในสถาปัตยกรรมนั้นๆ ให้ได้สัมผัสกันอีกด้วย

ตั้งอยู่ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติประจำจังหวัด  สวน โนะ โน้บโปโร ซินริน, Cr.pic.: hokkaidoguide.com

พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งอันทรงคุณค่าและน่าสนใจของซัปโปโรก็คือ หมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งฮอกไกโด (Historic Village of Hokkaido) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติประจำจังหวัด  สวน โนะ โน้บโปโร ซินริน (道立自然公園野幌森林公園 / No Nopporo Shinrin Kōen Prefectural Natural Park) โดยในส่วนของหมู่บ้านประวัติศาสตร์นี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1983 จากการรวบรวมเอาสถาปัตยกรรมตลอดจนอาคารบ้านเรือนโบราณภายในเกาะฮอกไกโดที่จะถูกทำลายทิ้งมาไว้ในที่เดียวกันกว่า 52 หลัง โดยอาคารทั้งหมดเป็นอาคารหลังดั้งเดิมที่สร้างขึ้นระหว่างช่วงยุคเมจิ (Meiji) ถึงยุคไทโช (Taisho) ช่วงปี ค.ศ.1868-1926 อันเป็นยุคที่ฮอกไกโดเริ่มพัฒนาเมืองขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์นั้นมีตั้งแต่บ้านเรือนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมไปจนถึงสถาปัตยกรรมคลาสสิกที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก โดยอาคารทุกหลังยังคงเป็นอาคารดั้งเดิมที่ถูกย้ายนำมาปลูกสร้างบนพื้นที่ใหม่และมีการจัดเป็นชุมชนใหม่ได้อย่างน่าสนใจ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 เขตด้วยกัน ได้แก่ โซนชุมชนเมือง (Town) โซนหมู่บ้านชาวประมง (Fishing Village) โซนหมู่บ้านเกษตรกรรม (Farm Village) และ โซนหมู่บ้านชาวเขา (Mountain Village) เพื่อให้เราได้ไปเข้าไปสัมผัสอดีตที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

การแสดงการตกแต่งภายในเคหะสถานแบบโบราณ, Cr.pic.: hokkaidoguide.com

ไฮไลต์แห่งใบไม้เปลี่ยนสี

โจซานเคย์ ออนเซ็น, Cr.pic.: Shutterstock

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่เราสามารถชื่นชมความงามของธรรมชาติได้อย่างรื่นรมย์ที่สุดก็เห็นจะเป็นตามเมืองออนเซ็นต่างๆ นั่นเอง สำหรับที่ซัปโปโรนั้นสุดยอดไฮไลต์ของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้ก็ต้องยกให้ที่ โจซานเคย์ ออนเซ็น (定山渓温泉 / Jozankei Onzen) เมืองออนเซ็นที่มีเสน่ห์ที่สุดของเกาะฮอกไกโด แหล่งแช่น้ำร้อนท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามนี้อยู่ห่างจากซัปโปโรออกไปราว 1 ชม. บริเวณนี้มีบ่อน้ำแร่ร้อนตลอดจนโรงแรมออนเซ็นเปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก แล้ววิวที่สวยดึงดูดความประทับใจได้ดีที่สุดนั้นก็คือวิวของใบไม้เปลี่ยนสีกับเมืองออนเซ็นที่อยู่ริมแม่น้ำนั่นเอง

เมืองออนเซ็นแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโตโยฮิระ (豊平川 / Toyohira River) ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1866 โดยนักบวชชื่อ มีซูมิ โจซาน (Miizumi Jozan) โดยท่านได้เปิดบริการแหล่งแช่น้ำร้อนเพื่อการบำบัดขึ้นเป็นแห่งแรกที่นี่ ในยุคหลังเริ่มมีการสัมปทานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ตลอดจนป่าไม้ขึ้นในบริเวณนี้ ทำให้มีแรงงานเป็นจำนวนมาก และแรงงานเหล่านั้นก็ต้องการผ่อนคลายจากงานด้วย นั่นจึงเป็นส่วนที่ทำให้เมืองออนเซ็นนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อปี ค.ศ.1918 มีการเปิดเส้นทางรถไฟที่ตัดมายังเมืองนี้ขึ้น ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่โด่งดังขึ้นมาในทันที แล้วปัจจุบันก็กลายเป็นหนึ่งในแหล่งออนเซ็นระดับพรีเมี่ยมแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นไปเลยทีเดียว

เทศกาล Jozankei Nature Luminarie, Cr.pic: Shutterstock

นอกจากแหล่งแช่น้ำแร่ร้อนและธรรมชาติอันงดงามแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองนี้ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ไม่นานมานี้ก็คือเทศกาล Jozankei Nature Luminarie เนรมิตแสงศิลป์สาดส่องธรรมชาติเพื่อสร้างจิตนาการอันงดงามในยามค่ำคืน ซึ่งทางเมืองจะเชิญศิลปินมาจัดแสงไฟตลอดจนเทคโนโลยี Projection Mapping เพื่อสร้างเอกลักษณ์ใหม่ในยามค่ำคืนให้กับธรรมชาติ โดยเทศกาลนี้จะเกิดขึ้นที่บริเวณสวนสาธารณะฟุตามิ (Futami Park) ในช่วงระหว่างเดือน มิ.ย.-ต.ค. ของทุกปีเท่านั้น สำหรับเทศกาลแห่งแสงสีและจินตนาการนี้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.2016 ที่จัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีของการเปิดเมืองแห่งน้ำพุร้อนนี้นั่นเอง ด้วยเสียงตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากและสามารถสร้างเอกลักษณ์ได้ไม่เหมือนใครเลยทำให้เทศกาลนี้ยังคงถูกจัดเรื่อยมาเป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบัน แล้วก็ยังเป็นไฮไลท์ของราตรีในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่สุดยอดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

เนินเขาแห่งพระพุทธเจ้า

นอกจากภาพของหิมะขาวโพลนแล้ว อีกหนึ่งภาพจำประจำฮอกไกโดก็คือทุ่งดอกไม้ลาเวนเดอร์สีม่วงสดที่ผสานกับดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์อย่างงดงามนั่นเอง แล้วนอกจากทุ่งดอกไม้ที่ฟูราโน่ (Furano) สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแล้ว เราขอแนะนำอีกสถานที่เด็ดที่สามารถชมทุ่งลาเวนเดอร์ได้งดงามไม่แพ้กัน แถมยังมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

เนินเขาแห่งพระพุทธเจ้า (Hill of Buddha),  Cr.pic.: Shutterstock

ภาพวิวของเนินทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงสดที่มีเศียรพระพุทธเจ้าโผล่แพลมแซมขึ้นมาท่ามกลางธรรมชาติอย่างงดงามนั้นดูจะเป็นทิวทัศน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนแน่ๆ ซึ่ง เนินเขาแห่งพระพุทธเจ้า (Hill of Buddha) นี้ตั้งอยู่ในสุสานมาโฏคมาไน ทาคิโนะ (真駒内滝野霊園 / Makomanai Takino Cemetery) ชานเมืองซัปโปโร และเพิ่งจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้เมื่อปลายปี ค.ศ.2015 ที่ผ่านมานี่เอง หากถอยออกมามองในภาพรวมนั้นเนินทุ่งลาเวนเดอร์นี้ก็คือส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมแปลกตาแต่เป็นพุทธสถานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างครอบองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งเดิมทีประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ณ ทุ่งหญ้าแห่งนี้มานานกว่า 18 ปี แล้ว ทาดาโอะ อันโด (Tadao Ando) สถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่อก้องโลกคือผู้ที่ได้รับเชิญให้มาออกแบบโครงการ ซึ่งสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่แปลกใหม่แต่ยังคงลายเซ็นต์ของตัวเองไว้ในงานสถาปัตยกรรมทุกชิ้นได้เป็นอย่างดี

สถาปัตยกรรมแปลกตาที่ได้รับการยกย่องว่าออกแบบได้ยอดเยี่ยม, Cr.pic.: Shutterstock

องค์พระพุทธรูปนั้นมีความสูงกว่า 13.5 เมตร แนวความคิดดั้งเดิมนั้นต้องการสร้างอาคารใหม่ครอบองค์พระให้มิดชิด แต่เนื่องด้วยประสบปัญหาด้านงบประมาณทำให้การก่อสร้างล่าช้าจนถึงขั้นทำให้อันโดเสนอ (แกมประชด) ว่าให้เอาหลังคาออกเลยมั้ย ซึ่งนั่นทำให้บริษัทที่รับผิดชอบเรื่องหลังคาถึงกับจะบริจาคให้ฟรีๆ กันเลยทีเดียว แต่แล้วในที่สุดอันโดก็คิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ด้วยการปรับแบบให้เหมาะสมกับราคา ตัดทอนรายละเอียดไม่จำเป็นออก จนออกมาเป็นอาคารทรงแปลกตาที่เหมือนซ่อนอยู่ใต้ดินอย่างที่เห็น แล้วความแปลกประหลาดนี้ก็กลับกลายเป็นเอกลักษณ์เด่นที่ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้ไม่เหมือนใคร ทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมแปลกตาที่ได้รับการยกย่องว่าออกแบบได้ยอดเยี่ยม Hill of Buddha เปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี แต่หากอยากได้ภาพสวยๆ บรรยากาศดีๆ ของทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงนั้นแนะนำให้มาในช่วงฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ (ก.ค.-ต.ค.) ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะได้เห็นความงดงามอันสมบูรณ์แบบที่สุดของที่นี่

ตะลุยยกครัวกับทัวร์เปรี้ยวปาก

หมู่บ้านผลไม้โซเบ็ทซุ, Cr.pic.: sobetsu-kanko.com

ปิดท้ายทริปครอบครัวตะลุยซัปโปโรกันด้วยทัวร์ตระเวนชิมของอร่อยในหลากรูปแบบซึ่งนี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของการเยือนภูมิภาคฮอกไกโดเลยทีเดียว เริ่มต้นด้วยการทัวร์สวนผลไม้เพื่อชิมความอร่อยแบบสดใหม่กันถึงไร่ สำหรับช่วงฤดูใบไม้ร่วง สถานที่ที่อยากแนะนำให้แวะไปเยือนมากที่สุด อาจต้องเดินทางจากซัปโปโรออกไปไกลสักนิด แต่รับรองว่าคุ้มค่าในฤดูนี้เพราะนี่คือหนึ่งในสุดยอดแหล่งผลไม้ของเกาะเลยทีเดียว ที่นี่ก็คือ หมู่บ้านผลไม้โซเบ็ทซุ (そうべつくだもの村 / Sobetsu Fruit Village) ที่ตั้งอยู่ในเมืองทากิโนมาชิ  (Takinomachi) ความน่าสนใจของหมู่บ้านนี้เริ่มตั้งแต่ประวัติการก่อตั้งหมู่บ้านที่เป็นการรวมตัวกันของคนหนุ่มสาว 23 ครอบครัวในยุคอดีตมาร่วมกันสร้างหมู่บ้านสวนผลไม้เพื่อการท่องเที่ยวขึ้นในปี ค.ศ.1987 จนทำให้หมู่บ้านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ปัจจุบันมีสวนผลไม้ให้บริการกว่า 18 ฟาร์ม ปลูกผลไม้หลากหลายสายพันธุ์ตั้งแต่ สตรอเบอรี่ เชอรี่ พรุน แอปเปิ้ล องุ่น และอีกหลายชนิด ซึ่งผลไม้เด่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่แนะนำให้แวะไปชิมคือองุ่นกับแอปเปิ้ลนั่นเอง

ตลาดปลานิโจ (Nijo Fish Market), Cr.pic.: sapporo.travel

แหล่งอร่อยต่อไปที่พลาดไม่ได้ก็คือการตะลุยตลาดท้องถิ่นโดยเฉพาะตลาดปลาซึ่งเป็นแหล่งอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว สำหรับตลาดปลาประจำเมืองนี้ก็คือ ตลาดปลานิโจ (Nijo Fish Market) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซัปโปโร อาหารเลื่องชื่อหนีไม่พ้นอาหารทะเลสดใหม่จากแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ภายในตลาดมีตั้งแต่ของสดไปจนถึงของแห้ง แต่โซนที่เตะจมูกมากที่สุดก็เห็นจะเป็นร้านอร่อยรอบๆ ตลาดตั้งแต่แผงลอยข้างทางไปจนถึงร้านอาหารท้องถิ่นตำรับเด็ดมากมาย เมนูขึ้นชื่อแน่นอนว่าต้องเป็นปูฮอกไกโดที่สดใหม่ เนื้อแน่น หวานฉ่ำ มีให้เลือกตั้งแต่เนื้อปูสดไปจนถึงซุปมิโซะปูตำรับท้องถิ่นที่ใครก็ต้องยกนิ้วให้เลยทีเดียว

Ramen Republic,  Cr.pic.: japantravel.com/hokkaido

มาญี่ปุ่นทั้งทีไม่ชิมอาหารประจำชาติอย่างราเม็งก็ดูเหมือนจะมาไม่ถึงดินแดนนี้อย่างแท้จริง ที่โยโกฮาม่านั้นมีแหล่งรวมราเม็งเด็ดอย่าง Ramen Museum ส่วนตอนใต้อย่างฟุกุโอกะก็มีแหล่งรวมแชมป์อย่าง Ramen Stadium ให้ชิมกัน แต่สำหรับซัปโปโรนั้นแนะนำให้แวะไปชิมทีเด็ดแบบ one-stop-eating กันได้ที่ Ramen Republic ซึ่งนี่เป็นแหล่งรวมราเม็งร้านอร่อยเลื่องชื่อกว่า 8 ร้านไว้ในที่เดียวกัน โดยอาณาจักรราเม็งแห่งตอนเหนือนี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของห้าง ESTA มีราเม็งสูตรท้องถิ่นให้ชิมกันหลากหลายตำรับรวมถึง Sapporo Ramen ราเม็งซุบมิโซะอันเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นด้วย

โรงงานช็อกโกแลตชิโรอิ โคอิบิโตะ (Shiroi Koibito Park), Cr. pic.: shiroikoibitopark.jp

ตบท้ายปิดมื้อความอร่อยกันด้วยขนมหวานอันเป็นของฝากเลื่องชื่ออันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นด้วยการบุกไปถึงแหล่งผลิตอย่าง โรงงานช็อกโกแลตชิโรอิ โคอิบิโตะ (Shiroi Koibito Parkซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองนี้ โดยที่นี่เป็นแหล่งผลิต ชิโรอิ โคอิบิโตะ (Shiroi Koibito) คุกกี้นมสอดใส้ไวท์ช็อกโกแลตที่โด่งดังนั่นเอง ภายในยังมีโซนพิพิธภัณฑ์ให้เรียนรู้เรื่องช็อกโกแลต ตลอดจนโซนเยี่ยมชมโรงงานที่ให้เราได้เห็นการทำงานผลิตขนมอร่อยกันจริงๆ นอกจากนี้ก็ยังมีแหล่งช้อปของอร่อย คาเฟ่ขนมหวานน่านั่ง ไปจนถึงแหล่งเก็บภาพประทับใจสวยๆ รอบบริเวณที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมคลาสสิกสไตล์ยุโรปซึ่งสร้างขึ้นในสมัยเมจิ ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ไปในตัว

เสน่ห์ของซัปโปโรนั้นไม่ได้มีแต่สีขาวของหิมะ สีม่วงของลาเวนเดอร์ สีแดงของทิวลิป หรือแม้แต่สีน้ำเงินครามของน้ำทะเล แต่เสน่ห์ในเฉดสีโทนอบอุนของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็เป็นเอกลักษณ์ของซับโปโรอีกหนึ่งอย่างที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน นั่นยังไม่นับเฉดสีของความสนุกอีกมากมายที่กำลังรอต้อนรับการท่องเที่ยวของทุกคนในครอบครัวในช่วงเวลานี้ ช่วยที่เฉดสีแห่งความอบอุ่นจะสามารถสร้างความอบอุ่นที่แท้จริงให้กับทุกคนในครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

How to get there :

การเดินทาง / เครื่องบิน

จากกรุงเทพฯ มีเที่ยวบินตรงสู่ซัปโปโรมากมาย ตั้งแต่ Full Service ของสายการบินไทยและญี่ปุ่น รวมไปถึงสายการบินอื่นๆ และ Low-cost Airline ที่ช่วยให้การเดินทางประหยัดขึ้น   

Full Service / สนามบินสุวรรณภูมิ (กรุงเทพฯ) - New Chitose Airport (ซัปโปโร)

Thai Airways (การบินไทย)

ANA

Japan Airline

Low-cost Airline / สนามบินดอนเมือง (กรุงเทพฯ) - New Chitose Airport (ซัปโปโร)

Air Asia X

การเดินทางท้องถิ่น

การเดินทางในท้องถิ่นที่ซับโปโรนั้นค่อนข้างง่ายและสะดวกสบายโดยระบบขนส่งสาธารณะที่ให้บริการหลากหลายรูปแบบ ซึ่งขนส่งสาธารณะที่เราอาจใช้บ่อยก็จะมีดังนี้

รถไฟ / รถไฟใต้ดิน

JR Hokkaido > รถไฟของ JR Hokkaido ที่มักจะใช้โดยสารระหว่างเมืองในเกาะฮอกไกโด

Sapporo Municipal Subway (ST) > รถไฟใต้ดินที่ใช้โดยสารภายในบริเวณเมืองซัปโปโร

รถบัส / รถโดยสารประจำทาง

JR Hokkaido Bus > รถเมล์โดยสารในโซนเมืองซัปโปโรและไปยังสถานที่ต่างๆ ในเกาะฮอกไกโด

Hokkaido Chuo Bus > รถเมล์โดยสารในโซนเมืองซัปโปโรและไปยังสถานที่ต่างๆ ในเกาะฮอกไกโด

Jotetsu Bus > รถเมล์โดยสารในโซนเมืองซัปโปโรและไปยังสถานที่ต่างๆ ในเกาะฮอกไกโด

Where to stay :

Family Budget Hotel

HOTEL MYSTAYS PREMIER Sapporo Park (www.mystays.com)

La'gent Stay Sapporo Oodori (www.lagent.jp/sapporo-odori)

Sapporo View Hotel Oodori Kouen (www.viewhotels.co.jp/sapporo)

Family Luxury Hotel

Hotel Okura Sapporo (www.okura-nikko.com)

Premier Hotel Tsubaki Sapporo (https://tsubaki.premierhotel-group.com/sapporo)

Sapporo Park Hotel (www.sapporoparkhotel1964.com)

When to go :

ฤดูกาล / ฤดูท่องเที่ยว

ฤดูใบไม้ผลิ : มี.ค.-พ.ค. > เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด อากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะแก่การท่องเที่ยว ฤดูซากุระเบ่งบาน เต็มไปด้วยความโรแมนติก และเป็นฤดูที่เหมาะแก่การแช่ออนเซ็นท่ามกลางธรรมชาติ

ฤดูร้อน : มิ.ย.-ส.ค. > เป็นช่วงที่อากาศร้อน แต่ไม่ร้อนจัดนัก ทุ่งดอกไม้หลากสีสันเบ่งบาน สวนผลไม้อุดมสมบูรณ์ กิจกรรมกลางแจ้งน่าสนใจ

ฤดูใบไม้ร่วง : ก.ย.-พ.ย. > เป็นช่วงเวลาที่สวยงาม อากาศอบอุ่น บรรยากาศดี ใบไม้เปลี่ยนเฉดเป็นสีเหลือง-แดง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การแช่ออนเซ็นท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม

ฤดูหนาว : ธ.ค.-ก.พ. > เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็น มีหิมะปกคลุม แต่เป็นช่วงที่จะมีเทศกาลหิมะที่โด่งดัง และแหล่งเล่นสกีตลอดจนกีฬาฤดูหนาวจะเป็นที่นิยม

travelbaradmin's picture

ABOUT THE AUTHOR

POSTED BY travelbaradmin | Wednesday, October 02, 2019 - 09:09


admintator for web Travellerbar.com


RELATED FEED

POSTED BY travelbaradmin | Friday, April 05, 2024 - 17:54

6 Coffee Houses in Amsterdam


LEAVE A COMMENT

POSTED BY travelbaradmin | Friday, April 05, 2024 - 12:44

คอร์ตอร์ ที่ซึ่งอดีตพบกับปัจจุบัน


LEAVE A COMMENT

POSTED BY travelbaradmin | Friday, April 05, 2024 - 12:35

ความสุขอวลไอในสายลมที่ซิดนีย์


LEAVE A COMMENT